Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )
คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือ
แบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท
แบบที่ 2 แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท
แบบที่ 3 แบ่งคำนามเป็น 4 ประเภท
แบบที่ 4 แบ่งคำนามเป็น 7 ประเภท
ซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns
nouns
Countable/Uncountable Nouns - นามนับได้/ไม่ได้
1.Countable Nouns ( นามนับได้ )
เป็นนามที่สามารถแยกนับจำนวนหนึ่ง สอง สาม... ได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรูปร่างก็ได้
มีรูปร่าง (สามารถสัมผัสได้ ) – เช่น dog, chair , tree, school, country, student, biscuit
ไม่มีรูปร่าง ( ไม่สามารถสัมผัสได้ ) - เช่น day , month, year, weekend, journey
กิจกรรม : job, assignment
มีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์
เอกพจน์: เช่น dog,country,day,year
พหูพจน์: เช่น dogs,countries,days,years
การใช้ นามนับได้เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย determiners อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
I want an orange. (ไม่ใช่ I want orange.)
Where is the bottle? ( ไม่ใช่ Where is bottle?)
Do you want this book?
การใช้นามนับได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย articles หรือไม่ก็ได้ เช่น
I like to feed the birds. ( เฉพาะเจาะจง ต้องมี articles )
Cats are interesting pets. ( ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี article )
I want those books on the table. ( those เป็น determiners )
2.Uncountable Nouns ( นามนับไม่ได้ )
เป็นนามที่นับไม่ได้ เนื่องจากภาษาอังกฤษมองสิ่งนั้นในภาพรวมและคิดว่าไม่สามารถจะแยกเป็นส่วนได้ รวมทั้งความคิด การกระทำต่างๆที่เป็นรูปธรรม( abstract nouns ) ด้วย เช่น
Concrete: เช่น water, milk, butter, furniture, luggage, iron,equipment,clothing,garbage, junk
Abstract : เช่น anger, courage, satisfaction,happiness,knowledge
ชื่อภาษา: เช่น English,German,Spain
กีฬาต่างๆ :เช่น hockey, football, tennis
ชื่อวิชาต่างๆ: เช่น sociology, medicine, anthropology
กิจกรรมต่างๆ: swimming, eating
อื่นๆ : news, money,mail ,work,homework,gossip, education, weather, difficulty, information,feminism, optimism,machinery,information, research,traffic,scenery,breakfast, accomodation, advice, permission
มีรูปเอกพจน์ และเมื่อกล่าวถึงเป็นการทั่วๆไป หรือ ไม่ได้กล่าวถึงมาก่อน ไม่ต้องนำด้วย articles เช่น
I have bread and butter for breakfast every morning. ( ฉันกินขนมปังและเนยเป็นอาหารเช้าทุกวัน )
We cannot live without air and water. ( เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากอากาศและน้ำ )
Information is often valuable.( ข้อมูลข่าวสารมักจะมีคุณค่า )
Sunlight and water are usually required for plants to grow. ( แสงแดดและน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช )
My favorite breakfast is cereal with fruit, milk, orange juice, and toast.
Uncountable nouns ที่ทำหน้าทีประธานของประโยค จะต้องใช้ verb ด้วยหลักการเดียวกับคำนามเอกพจน์ เช่น
Butter is fattening. ( เนยทำให้อ้วน )
ปกติจะมีรูปเป็นเอกพจน์ แต่ทำให้เป็นพหูพจน์ได้โดยบอกจำนวนตามภาชนะที่บรรจุ กลุ่ม น้ำหนัก และลักษณะนาม เช่น
two cups of water, three pieces of information, five patches of sunlight
three games of hockey, two lumps of sugar
I need two lumps of sugar for my coffee. ฉันกินกาแฟต้องใส่น้ำตาล 2 ก้อน
Two glasses of milk are enough. นมสองแก้วก็เพียงพอแล้ว ( ใช้ are เนื่องจาก glasses เป็นพหูพจน์ )
เปรียบเทียบการใช้ articles ของคำนามทั้งสอง ( this,that,, these, those นำมารวมในที่นี้ เนื่องจากเป็นการชี้เฉพาะเจาะจงเช่นเดียวกับ the )
Nouns
เอกพจน์/พหูพจน์ (Singular/Plural)
ดังที่ได้กล่าวในบทเรื่อง Nouns แล้วว่า คำนามในภาษาอังกฤษที่เกียวกับการนับมี 2 ชนิดคือ
นามนับได้ ( countable nouns ) สามารถเป็นเอกพจน์ ( Singular ) หรือ พหูพจน์ ( Plural ) ได้
นามนับไม่ได้ ( uncountable nouns ) โดยทั่วไปเป็นเอกพจน์ ( Singular ) แต่มีข้อยกเว้นสำหรับบางคำสามารถทำให้เป็นพหูพจน์ ได้
ในบทนี้จะกล่าวถึงการทำให้เป็นพหูพจน์ของทั้งนามนับได้และนามนับไม่ได้ ซึ่งมีหลักกว้างๆคือ
นามนับได้ ส่วนใหญ่ทำให้เป็นพหูพจน์โดยการเติม - s ที่ท้ายคำ
นามนับไม่ได้โดยทั่วไป ทำเป็นพหูพจน์ไม่ได้ ( แต่มีข้อยกเว้น ซึ่งทำให้กลายเป็นคำนามที่ใช้อย่างนามนับได้ เช่น wine ปกติเป็นนามนับไม่ได้ แต่สามารถนำมาใช้แบบนับได้คือ wines หมายถึง เหล้าองุ่นชนิดต่างๆ )
Nouns ( Subject - Verb Agreement )
ในประโยคภาษาอังกฤษ ประธานของประโยค ( Subject ) และการใช้คำกริยา (Verb ) จะต้องสอดคล้องกัน กล่าวคือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาต้องเป็นพหูพจน์ ปัญหาสำหรับผู้เรียนคือ ไม่แน่ใจว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหุพจน์ เช่น
government , committee ซึ่งเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ แล้วแต่การใช้
furniture,money ดูน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่านี้เป็นนามนับไม่ได้ มีความหมายเป็นเอกพจน์
police, people ใช้อย่างพหูพจน์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง nouns รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆให้ถ่องแท้จึงจะสามารถใช้คำกริยาให้สอดคล้อง กับประธานได้อย่างถูกต้อง
หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน
1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์
2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์
3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน ใช้กริยาเป็นเอกพจน์
4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1 และเชื่อมด้วย and หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว
หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง
5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก
6, ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ
8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง
9, คำ Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
10.การใช้วลีบอกปริมาณ
11.วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ เมื่อใช้กับนามนับไม่ได้ กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ตลอดไป
12.ประโยคที่มี who, which , that เป็น Relative Pronoun กริยาของ Relative Pronoun จะใช้รูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ ให้ถือเอาตามคำที่มันแทนซึ่งอยู่ข้างหน้า who, which , that
13.ประธานที่ขึ้นต้นด้วย Infinitive Phrase ( วลีที่นำหน้าด้วย to ) หรือ gerund ( ing ) ถือว่าเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์ตาม
14.จำนวนเงินหรือมาตราต่างๆ เช่น ถือเป็นเอกพจน์
15.เศษส่วนของคำนามพหูพจน์เป็นพหูพจน์ เศษส่วนของคำนามเอกพจน์เป็นเอกพจน์
16.ชื่อหนังสือหรือบทความเป็นเอกพจน์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น