วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตัวอย่างข้อสอบต่างๆ

TOEFL Practice Questions

http://a4esl.org/q/j/cy/mc-toefl40a.html

TOEFL Quizzes

http://esl.about.com/library/quiz/bltoeflquiz.htm?once=true&

Parts of Speech : Verbs ( คำกริยา )

Verbs ( คำกริยา )
Types (ชนิดของคำกริยา)
คำกริยาเป็นการบอกอาการ หรือการกระทำ ( action ) หรือความมีอยู่ เป็นอยู่ ( being ) หรือ สภาวะความเป็นอยู่ ( state of being )

1. แ่บ่้่งตามหน้าที่โดยยึดเป็นกรรม ( Object ) เป็นเกณฑ์มี 2 ชนิด

Transitive Verbs ( สกรรมกริยา ) คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ เช่น
He bought a book. ( a book เป็นกรรม )
Intransitive Verbs ( อกรรมกริยา ) คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรม เช่น
He arrived late.

2. แบ่งตามหน้าที่ เป็นคำกริยาหลัก (Main Verbs) และคำกริยาช่วย ( Auxiliary Verbs )

Main Verbs ( คำกริยาหลัก) เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระในประโยค เช่น
He went to Australia last year.
Auxiliary Verbs ( คำกริยาช่วย ) ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาหลัก เช่น
He has gone to Australia.

3. แบ่งตามหน้าที่เป็นคำกริยาแท้ ( Finite Verbs) และกริยาไม่แท้ ( Non-finite Verbs)

Finite Verbs ( คำกริยาแท้ ) ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธานในประโยคมีการเปลี่ยนรูปไปตามSubject , Tense, Voice และ Mood

4. แบ่งตามโครงสร้างโดยยึดการเปลี่ยนรูปของคำ ( conjugation ) ได้แก่

Regular Verbs ( คำกริยาปกติ ) เป็นคำกริยาที่เติม ed เมื่อเป็น past และ past participle




Verbs Tenses



Verb Tenses ( กาล ) เป็นรูปแบบของคำกริยาที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับเวลาที่เกิดขึ้น ความต่อเนื่องของการกระทำ ความเสร็จสมบูรณ์ของการกระทำ

I. รูปของ Verb Tenses

คำว่า Verb Tenses ตามไวยากรณ์เป็นการรวมกันระหว่าง

Tense ซึ่งหมายถึงเวลาที่เกิดขึ้นซึ่งได้แก่ past ( อดีต ) present ( ปัจจุบัน )และ future ( อนาคต )
Aspect ซึ่งหมาย ถึงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจบลงแล้วหรือยังดำเนินการอยู่ มี 2 รูปแบบ
จบลงแล้ว (Complete Tenses หรือ Perfect Tenses) แสดงด้วย Have + past participle มี 3 รูป
Past Perfect
Present Perfect
Future Perfect
หรือยังดำเนินการอยู่ ( Incomplete หรือ Progressive หรือ continuous ) แสดงด้วย BE + ing มี 3 รูป
Past Progressive
Present Progressive
Future Progressive
Tenses ที่เหลือนอกจาก 2 รูปแบบข้างต้นได้แก่

Simple Tense มี 3 รูป
Simple Past
Simple Present
Simple Future
การรวมกันของ Complete และ Incomplete Tenses
Past Perfect Progressive
Present Perfect Progressive
Future Perfect Progressive
เมื่อสรุปรวมแล้ว Verb Tense มีทั้งหมด 12 รูป




Verb Tenses
(Present Tenses )
ดังได้กล่าวมาในบท Verb Tense ( Types ) แล้วว่า Verb Tense มีทั้งหมด 12 รูปใน active voice ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้ Present tenses ทั้ง 4 รูปคือ Simple present , Present progressive, Present perfect,และ Present perfect progressive.


Verb Tenses
(Past Tenses )
ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้ Past tenses ทั้ง 4 รูปคือ Simple Past ,Past progressive,Past perfect,และ Past perfect progressive.


Verb Tenses
(Future Tenses )
ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้ Future tenses ทั้ง 4 รูปคือ Simple Future ,Future progressive,Future perfect,และ Future perfect progressive.

Verb Tenses
Continuous/Non-continuous Verbs
กริยาที่ไม่ใช้เป็น Present Continuous ( non-continuous verbs ) คือกริยาที่แสดงความรับรู้ ความรู้สึก หรือสัมพันธภาพ แต่ใช้ Present Simple แทน ในกรณีที่ต้องการจะบอกว่ากำลังมีอาการเช่นนั้นอยู่



Verbs:
Active/Passive Voices



Voice หมายถึงวิธีพูด Active Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น

The dog bit the boy. สุนัขกัดเด็กชาย ( สุนัขเป็นประธานผู้กระทำโดยตรง และเด็กชายเป็นกรรม)
Dara will present her research at the conference.
Susan is cooking dinner.
They are going to build a new house soon.

Passive Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น


Verbs:
Moods


บทนี้กำลังดำเนินการ

Mood ( มาลา ) หมายถึงลักษณะการพูดตามภาวะจิตใจผู้พูด ซึ่งอาจจำแนกได้ 3 ชนิด

I. The Indicative Mood

เป็นลักษณะการพูดที่เกี่ยวกับความจริง เช่น The earth move around the sun .
Joe picks up the boxes.
Charles closes the window.

II. The Imperative Mood


เป็นลักษณะการพูดที่แสดงคำสั่ง คำขอร้อง เช่น Pick up those boxes.
Close the window.
Don't make a lound noise.
Help! I'm drowning.

III. The Subjunctive Mood

เป็นลักษณะการพูดเรื่องที่ ไม่เกิดขึ้นจริง แต่ต้องการให้เกิดขึ้น
ต้องการให้เกิดขึ้น
แสดงความปรารถนา
คำแนะนำ

เช่น ไม่เกิดขึ้นจริง แต่ต้องการให้เกิดขึ้น
If I were rich, I would travel around the world .
If he were promoted , we would all be sorry.
If I were you , I wouldn't do that.

ต้องการให้เกิดขึ้น
The manager insists that the car park be locked at night.
It was necessary that every student submit his essay by the weekend.
It is vital that you be present at the meeting.

แสดงความปรารถนา
I wish you were here. ฉันอยากให้คุณอยู่ที่นี่ ( แต่ไม่ได้อยู่ )
I wish the rain would stop. ฉันอยากให้ฝนหยุดตก ( แต่ฝนก็ไม่ได้หยุดตก )
I wish you were kinder to me

คำแนะนำ
The doctor recommended that John be in bed for a week.
They suggest that she resign from the board.
It is important that he prepare himself before the meeting.


Subjunctive มี 3 รูป คือ

Present Subjunctive ( กริยารูปเดิม )
Past Subjunctive ( กริยาช่อง ที่ 2 )
Past Perfect Subjunctive ( had + กริยาช่องที่ 3 )

Parts of Speech : Pronouns ( คำสรรพนาม )

Pronoun ( คำสรรพนาม ) คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ

Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม ) เช่น I, you, we, he , she ,it, they
Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย เช่น myself, yourself,ourselves
Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง ) เช่น this, that, these, those, one, such, the same
Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น all, some, any, somebody, something, someone
Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น who, which, that

Parts of Speech : Nouns ( คำนาม )

Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )
คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือ

แบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท
แบบที่ 2 แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท
แบบที่ 3 แบ่งคำนามเป็น 4 ประเภท
แบบที่ 4 แบ่งคำนามเป็น 7 ประเภท

ซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns


nouns
Countable/Uncountable Nouns - นามนับได้/ไม่ได้
1.Countable Nouns ( นามนับได้ )

เป็นนามที่สามารถแยกนับจำนวนหนึ่ง สอง สาม... ได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรูปร่างก็ได้
มีรูปร่าง (สามารถสัมผัสได้ ) – เช่น dog, chair , tree, school, country, student, biscuit
ไม่มีรูปร่าง ( ไม่สามารถสัมผัสได้ ) - เช่น day , month, year, weekend, journey
กิจกรรม : job, assignment


มีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์
เอกพจน์: เช่น dog,country,day,year
พหูพจน์: เช่น dogs,countries,days,years


การใช้ นามนับได้เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย determiners อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
I want an orange. (ไม่ใช่ I want orange.)
Where is the bottle? ( ไม่ใช่ Where is bottle?)
Do you want this book?


การใช้นามนับได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย articles หรือไม่ก็ได้ เช่น
I like to feed the birds. ( เฉพาะเจาะจง ต้องมี articles )
Cats are interesting pets. ( ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี article )
I want those books on the table. ( those เป็น determiners )
2.Uncountable Nouns ( นามนับไม่ได้ )

เป็นนามที่นับไม่ได้ เนื่องจากภาษาอังกฤษมองสิ่งนั้นในภาพรวมและคิดว่าไม่สามารถจะแยกเป็นส่วนได้ รวมทั้งความคิด การกระทำต่างๆที่เป็นรูปธรรม( abstract nouns ) ด้วย เช่น
Concrete: เช่น water, milk, butter, furniture, luggage, iron,equipment,clothing,garbage, junk
Abstract : เช่น anger, courage, satisfaction,happiness,knowledge
ชื่อภาษา: เช่น English,German,Spain
กีฬาต่างๆ :เช่น hockey, football, tennis
ชื่อวิชาต่างๆ: เช่น sociology, medicine, anthropology
กิจกรรมต่างๆ: swimming, eating
อื่นๆ : news, money,mail ,work,homework,gossip, education, weather, difficulty, information,feminism, optimism,machinery,information, research,traffic,scenery,breakfast, accomodation, advice, permission


มีรูปเอกพจน์ และเมื่อกล่าวถึงเป็นการทั่วๆไป หรือ ไม่ได้กล่าวถึงมาก่อน ไม่ต้องนำด้วย articles เช่น
I have bread and butter for breakfast every morning. ( ฉันกินขนมปังและเนยเป็นอาหารเช้าทุกวัน )
We cannot live without air and water. ( เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากอากาศและน้ำ )
Information is often valuable.( ข้อมูลข่าวสารมักจะมีคุณค่า )
Sunlight and water are usually required for plants to grow. ( แสงแดดและน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช )
My favorite breakfast is cereal with fruit, milk, orange juice, and toast.
Uncountable nouns ที่ทำหน้าทีประธานของประโยค จะต้องใช้ verb ด้วยหลักการเดียวกับคำนามเอกพจน์ เช่น
Butter is fattening. ( เนยทำให้อ้วน )
ปกติจะมีรูปเป็นเอกพจน์ แต่ทำให้เป็นพหูพจน์ได้โดยบอกจำนวนตามภาชนะที่บรรจุ กลุ่ม น้ำหนัก และลักษณะนาม เช่น
two cups of water, three pieces of information, five patches of sunlight
three games of hockey, two lumps of sugar
I need two lumps of sugar for my coffee. ฉันกินกาแฟต้องใส่น้ำตาล 2 ก้อน
Two glasses of milk are enough. นมสองแก้วก็เพียงพอแล้ว ( ใช้ are เนื่องจาก glasses เป็นพหูพจน์ )
เปรียบเทียบการใช้ articles ของคำนามทั้งสอง ( this,that,, these, those นำมารวมในที่นี้ เนื่องจากเป็นการชี้เฉพาะเจาะจงเช่นเดียวกับ the )



Nouns
เอกพจน์/พหูพจน์ (Singular/Plural)
ดังที่ได้กล่าวในบทเรื่อง Nouns แล้วว่า คำนามในภาษาอังกฤษที่เกียวกับการนับมี 2 ชนิดคือ

นามนับได้ ( countable nouns ) สามารถเป็นเอกพจน์ ( Singular ) หรือ พหูพจน์ ( Plural ) ได้
นามนับไม่ได้ ( uncountable nouns ) โดยทั่วไปเป็นเอกพจน์ ( Singular ) แต่มีข้อยกเว้นสำหรับบางคำสามารถทำให้เป็นพหูพจน์ ได้
ในบทนี้จะกล่าวถึงการทำให้เป็นพหูพจน์ของทั้งนามนับได้และนามนับไม่ได้ ซึ่งมีหลักกว้างๆคือ

นามนับได้ ส่วนใหญ่ทำให้เป็นพหูพจน์โดยการเติม - s ที่ท้ายคำ
นามนับไม่ได้โดยทั่วไป ทำเป็นพหูพจน์ไม่ได้ ( แต่มีข้อยกเว้น ซึ่งทำให้กลายเป็นคำนามที่ใช้อย่างนามนับได้ เช่น wine ปกติเป็นนามนับไม่ได้ แต่สามารถนำมาใช้แบบนับได้คือ wines หมายถึง เหล้าองุ่นชนิดต่างๆ )


Nouns ( Subject - Verb Agreement )
ในประโยคภาษาอังกฤษ ประธานของประโยค ( Subject ) และการใช้คำกริยา (Verb ) จะต้องสอดคล้องกัน กล่าวคือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาต้องเป็นพหูพจน์ ปัญหาสำหรับผู้เรียนคือ ไม่แน่ใจว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหุพจน์ เช่น
government , committee ซึ่งเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ แล้วแต่การใช้
furniture,money ดูน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่านี้เป็นนามนับไม่ได้ มีความหมายเป็นเอกพจน์
police, people ใช้อย่างพหูพจน์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง nouns รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆให้ถ่องแท้จึงจะสามารถใช้คำกริยาให้สอดคล้อง กับประธานได้อย่างถูกต้อง

หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน

1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์
2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์
3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน ใช้กริยาเป็นเอกพจน์
4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1 และเชื่อมด้วย and หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว
หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง
5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก
6, ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ
8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง
9, คำ Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
10.การใช้วลีบอกปริมาณ
11.วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ เมื่อใช้กับนามนับไม่ได้ กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ตลอดไป
12.ประโยคที่มี who, which , that เป็น Relative Pronoun กริยาของ Relative Pronoun จะใช้รูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ ให้ถือเอาตามคำที่มันแทนซึ่งอยู่ข้างหน้า who, which , that
13.ประธานที่ขึ้นต้นด้วย Infinitive Phrase ( วลีที่นำหน้าด้วย to ) หรือ gerund ( ing ) ถือว่าเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์ตาม
14.จำนวนเงินหรือมาตราต่างๆ เช่น ถือเป็นเอกพจน์
15.เศษส่วนของคำนามพหูพจน์เป็นพหูพจน์ เศษส่วนของคำนามเอกพจน์เป็นเอกพจน์
16.ชื่อหนังสือหรือบทความเป็นเอกพจน์

Parts of Speech : Adverbs ( กริยาวิเศษณ์ )

Adverbs ( กริยาวิเศษณ์ )
Types (ชนิดของกริยาวิเศษณ์ )

Adverb ( กริยาวิเศษณ์ ) คือคำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำต่อไปนี้เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

1. Verb (กริยา) เช่น He works hard every day. ( hard เป็น adverb ขยายคำกริยา work )

2. Adjective ( คำคุณศัพท์) เช่น It is surprisingly hot today. ( surprisingly เป็น adverb ขยาย คุณศัพท์ hot )

3. คำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เช่น The train travels very quickly.( very ซึ่งเป็น adverb ขยาย quickly ซึ่งเป็น adverb )

4. Pronoun (สรรพนาม) เช่น What else I can say? ( else เป็น adverb ขยาย what ซึ่งเป็น สรรพนาม )

5. กลุ่มคำที่เป็นวลี เช่น They lived nearly on the top of the hill. ( nearly เป็น adverb ขยายวลี on the top of the hill )

6. ประโยค เช่น However, I was successful in the examination ( however เป็น adverb ขยายประโยคที่ตามมา )

7. จำนวนนับ เช่น I go to Huahin almost every week. ( almost เป็น adverb ขยายจำนวนนับ every )

8. Preposition (บุพบท) เช่น I hit him right on his nose . ( right ในที่นี้แปลว่า"พอดี " เป็น adverb ขยาย preposition "on")

9. Conjunction ( สันธาน ) เช่น He didn't stop working even though he was very tired. ( even =ถึงขนาดนั้น เป็น adverb ขยายสันธาน though




Adverbs
การทำให้เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (Formation )



Adverbs ส่วนมากมีแหล่งที่มาจากคำคุณศัพท์ ( adjectives ) โดยการเติมปัจจัย ( suffix ) -ly คำคุณศัพท์ตัวนั้นจะกลายเป็น คำกริยาวิเศษณ์ แต่ก็มี adverb บางคำที่มาจาก nouns โดยการเติม - ly

Parts of Speech : Adjectives

Adjective
ตำแหน่งของคุณศัพท์ ( Position )

Adjective ( คุณศัพท์ ) คือคำ ( word ) วลี ( phrase ) หรือประโยค ( sentence ) ซึ่งใช้อธิบายหรือขยายคำนาม หรือสรรพนาม ให้ได้ ความชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือเป็นการบอกให้รู้ลักษณะคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่าเป็นอย่างไร เช่น good, bad, new, hot, my, this โดยทั่วไปการวางตำแหน่ง คุณศัพท์ในประโยคจะวางได้ 2 แบบ

ใช้วางประกอบข้างหน้านาม ( attributive use ) ที่มันขยาย
She is a beautiful girl. เธอเป็นคนสวย ( beautiful ขยายนาม girl)
These are small envelopes. พวกนี้เป็นซองเล็กๆ ( small ขยายนาม envelopes)

ใช้วางเป็นส่วนของกริยา ( predicative use ) โดยอยู่ตามหลัง verb to be เมื่อ adjective นั้นขยาย noun หรือ pronoun ที่อยู่หน้า verb to be
The girl is beautiful. เด็กผู้หญิงคนนั้นสวย
( beautiful เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย girl และ the เป็นคุณศัพท์ขยาย girl เช่นกัน
These envelopes are small. ซองพวกนี้มีขนาดเล็ก
( small เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย envelopes ,these เป็น คุณศัพท์ขยาย envelopes เช่นกัน )
She has been sick all week. เธอป่วยมาตลอดอาทิตย์
( sick เป็น คุณศัพท์ ที่ตามหลัง verb to be ขยายสรรพนาม she )
( You) Be careful. ( คุณ ) ระมัดระวังด้วย
( careful เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย you ซึ่งในที่นี้ละไว้เป็นที่เข้าใจ )
That cat is fat and white. แมวตัวนั้นอ้วนและมีสีขาว
( That เป็นคุณศัพท์ประกอบหน้านาม fat และ white เป็นคุณศัพทซึ่งเป็นส่วนของกริยาขยาย cat


Adjectives ( คำคุณศัพท์ )
Types (ชนิดของคุณศัพท์)

โดยทั่วไปแบ่งออกได้ 8 ชนิดคือ

1. Proper adjective 5. Demonstrative adjective
2. Descriptive adjective 6. Distributive adjective
3. Quantitative adjective 7. Possessive adjective
4. Numeral adjective 8. Interrogative adjective

Adjectives
Formation (การทำให้เป็นคำคุณศัพท์ )


คำคุณศัพท์นอกจากเป็นด้วยตัวของมันเองแล้ว ยังสามารถนำชนิดของคำอื่นมาทำให้เป็นคำคุณศัพท์ได้ด้วย เช่น
1. คำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามโดยการเติม Suffix
2. คำคุณศัพท์ที่มาจากคำกริยา ( Verb) โดยการเติม suffix ท้ายคำ

Adjectives
การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ ( Comparison of Adjectives )
การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ ( Comparison of Adjectives ) เป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ที่ไปแสดงคุณภาพของนามเพื่อจะบอกให้รู้ว่านามนั้นมีลักษณะ เท่าเทียมกันหรือไม่ อย่างไร แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ

การเปรียบเทียบขั้นปกติ ( Positive Degree ) ใช้เปรียบเทียบความเท่าเทียมกัน ไม่เท่าเทียมกัน เช่น long, short, small , big , fast, slow เป็นต้น
การเปรียบเทียบขั้นกว่า ( Comparative Degree ) ใช้เปรียบเทียบกับนาม 2 จำนวน เช่น longer, shorter, smaller, bigger , faster, slower เป็นต้น
การเปรียบเทียบขั้นสูงสุด ( Superlative Degree ) ใช้เปรียบเทียบกับนามที่มีจำนวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป เช่น longest, shortest, smallest, biggest เป็นต้น



Adjectives ( articles -a/an )



Articles เป็นคำคุณศัพท์อย่างหนึ่ง การเรียน Articles ต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างสับสนสำหรับผู้เรียนซึ่งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรือเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาต่างประเทศ ( English as a Foreign Language ) เนื่องจากเป็นเรื่องที่มักจะตัดสินใจยากว่าอะไรเป็นนามนับได้ และอะไรเป็นนามนับไม่ได้ บางครั้งคำเดียวกันสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์มาก และขณะเดียวกัน ก็มีข้อยกเว้นมากเช่นกัน ต้องอาศัยความจำและประสบการณ์ ในการใช้ภาษา เป็นเวลานานจึงจะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง

หลักการใช้ article นำหน้านาม คือ

เมื่อกล่าวเป็นการทั่วไป นามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำหน้าเสมอ
นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใดๆ
เมื่อกล่าวเป็นการชี้เฉพาะ จะต้องใช้ the นำหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นนามนับได้หรือไม่ได้



Adjectives (Articles - the )



The เป็น article ที่เมื่อใช้นำหน้านามทั้งนับได้ นับไม่ได้ เอกพจน์ หรือพหูพจน์แล้ว จะทำให้นามนั้นมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจงทันที




Adjectives(article)
คำนามที่ไม่ต้องใช้ article

ในหัวข้อนี้จะสรุปรวมเรื่องคำนามที่ไม่ต้องใช้ article ทั้งหมด รวมทั้งที่ได้อธิบายไว้แล้วในหัวข้อ การใช้ the และการใช้ a/an ด้วย

ไม่ใช้ article กับคำนามต่อไปนี้

1. นามที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีวลี ( phrase ) หรืออนุประโยค ( clause ) อื่นใดมาขยายเพื่อให้เป็นการเฉพาะตามหลัง
2. วิชา ( subjects ) เช่น mathematics, physics, biology ,history, computer science
3. กีฬา ( sports ) เกม ( games ) เช่น volleyball, hockey. football, tennis,swimming
4. ภาษา (languages ) ทั้งหมด และสัญชาติ ( nationalities )ของประชาชนที่ใช้อย่างคำคุณศัพท ์( adjective)
เช่น French, English, Chinese
5. มื้อของอาหาร ( meals ) เช่น breakfast, lunch , dinner
6. ชื่อคน ( names ) รวมทั้งที่มียศ ตำแหน่ง ฐานะด้วยที่เป็นเอกพจน์ เช่น John ,Nelson Mandela
Dr. Watson, Ladda , Prince Charles, President Nixon, Aunt Elizabeth, Uncle George.
( ยกเว้น the Pope และการใช้ที่มี...of… เช่น the Queen of England )
7. ยานพาหนะทุกชนิด ที่ใช้ในการเดินทางโดยวางหลังpreposition by เช่น by bus , by train ,by bicycle , by taxi
8.ศาสนา ความเชื่อ ช่น Buddhism, Christianity, Communism, Socialism
9. เทศกาล เช่น Christmas, Songkran Festival
10.วัน เดือน ปี ช่น on Monday , on Friday, in January, in November และ next / last +period of time
เช่น next week, next month , last year




Adjectives - Determiners
Determiners คือคำที่บ่งบอกและ กำหนดคำนาม เป็นคำที่ใช้อย่าง adjectives ชนิดหนึ่งคือเป็นคำนำหน้า common nouns เพื่อให้เกิดความชัดเจน ยิ่งขึ้น คำที่ทำหน้าที่ deteminers จะมีความคล้ายคลึงกับคำที่ทำหน้าที่ pronouns ดังในตารางแสดงชนิดของ determiners เปรียบเทียบกับ pronoun

Parts of Speech

คำอธิบายเบื้องต้น
Parts of Speech Sentence Phrase Clause

Parts of Speech ( ชนิดของคำ )
ข้อความ ประกอบด้วย"คำ" ( word ) หรือกลุ่มคำซึ่งนำมาเรียงต่อเนื่องกันเป็นวลี (phrase) หรือประโยค ( sentence ) จะมีหน้าที่อย่างหนึ่ง อย่างใดใน 8 หน้าที่ ตามหลักไวยากรณ์อังกฤษ ( grammar )หน้าที่ของคำเรียกว่า "ชนิดของคำ" ( parts of speech ) ซึ่งได้แก่

Noun (คำนาม)
Pronoun (คำสรรพนาม)
Verb (คำกริยา)
Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) Adjective (คำคุณศัพท์)
Preposition (คำบุพบท)
Conjunction (คำสันธาน)
Interjection (คำอุทาน)

1. Noun ( คำนาม )

เป็นคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ ทั้งที่มีรูปร่างเช่น โต๊ะ สมุด และไม่มีรูปร่างเช่น วัน เวลา อากาศ รวมทั้งชื่อของคน สัตว์ หรือสิ่งของ เช่น

คน: man father lady
สัตว์: dog cat bird
สิ่งของ: city table month ชื่อคน: John Mary
ชื่อสัตว์: Lassie Lucifer
ชื่อสิ่งของ: Bangkok January

2. Pronoun (คำสรรพนาม )

เป็นคำที่ใช้เรียกแทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ เช่น I, we, you, he, she, it หรือใช้แทนคำนามที่เราไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือใคร เช่น someone, something

แทนคำซ้ำ Mai is a beautiful woman. Mai is a popular singer.
= Mai is a beautiful woman. She is a popular singer.
ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร Something is missing. ไม่รู้ว่าอะไรหายไป

3. Verb (คำกริยา )

เป็นคำที่บอกอาการหรือการกระทำ ( action ) หรือบอกความเป็นอยู่ ( being ) หรือสภาวะความเป็นอยู่ ( state of being ) เช่น fly, is, am, seem, look.

การกระทำ
ความเป็นอยู่
สภาวะความเป็นอยู่
Birds fly. นกบิน
Danny is a boy. แดนนี่เป็นเด็กผู้ชาย
He looks good. เขาแลดูดี

4. Adjectives ( คุณศัพท์ )

เป็นคำที่อธิบายหรือขยาย noun หรือ pronoun ให้ไดัรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ เพิ่มขึ้น เช่น new, ugly, ill, happy, afraid, careless.

He bought a new car. เขาซื้อรถใหม่.( new ขยาย car ซึ่งเป็น noun )
They are ugly. พวกเขาน่าเกลียด ( ugly ขยาย they ซึ่งเป็น pronoun )

5. Adverb ( วิเศษณ์ หรือ กริยาวิเศษณ์)

เป็นคำที่อธิบายหรือขยาย verb หรือ adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เช่น hard, fast, very

He works hard. เขาเป็นคนทำงานหนัก (hard ขยาย works ซึ่งเป็น verb)
He is very rich. เขาเป็นคนจนมาก ( very ขยาย rich ซึ่งเป็น adjective )
He works very hard.เขาเป็นคนที่ทำงานหนักมาก ( very ขยาย hard ซึ่งเป็น adverb )

6. Preposition (คำบุพบท )

เป็นคำ หรือกลุ่มคำที่วางหน้า noun หรือ pronoun เพื่อแสดงว่าคำนามหรือสรรพนามนั้นเกี่ยวข้องกับคำอื่นๆในประโยคอย่างไรเช่น on, at, in, from, within

I will see you on Monday. ฉันจะพบกับคุณในวันจันทร์
She was waiting at the restaurant. เธอรออยู่ที่ร้านอาหาร
There is a cockroach in my room. มีแมลงสาบตัวหนึ่งในห้องฉัน
We must finish the project within a year. ราจะต้องทำโครงการนี้ให้เสร็จใน 1 ปี

7. Conjunction ( คำสันธาน )

เป็นคำที่ใช้เชื่อม คำ กลุ่มคำ หรือประโยคเข้าด้วยกันเพื่อให้ความหมายสมบูรณ์ขึ้น เช่น and, but, therefore, beside, either..or

John is rich and handsome .จอห์นเป็นคนรวยและรูปหล่อ
Either you or she has to do this job. ไม่คุณก็เธอที่จะต้องทำงานนี้

8. Interjection ( คำอุทาน )

เป็นคำอุทานที่แสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับคำอื่นๆ ใน ประโยคเลย เช่น Oh God! , WOW, Hurrah

การพิจารณาว่าคำไหนเป็นคำชนิดใด เราดูที่การทำหน้าที่ของมันในประโยค คำๆเดียวอาจทำหน้าที่อย่างหนึ่งในประโยคหนึ่ง แต่อาจทำหน้าที่อย่างอื่นในประโยคอื่นดังในตารางต่อไปนี้

word parts of speech example
work noun My work is easy. งานของฉันง่าย
verb I work in Bangkok. ฉันทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ
but conjunction John came but Mary didn't come. จอห์นมาแต่แมรี่ไม่ได้มา
preposition Everyone came but Mary. ทุกคนมานอกจากแมรี่
well adjective Are you well? คุณสบายดีหรือ?
adverb She speaks well. เธอพูดได้ดี
interjection Well ! That expensive. แหม! แพงจัง
afternoon noun We ate in the afternoon. เรารับประทานในตอนบ่าย
noun ทำหน้าที่เหมือน adjective We had afternoon tea.เราดื่มชามื้อบ่าย

ต่อไปนี้เป็นการแสดงถึง Parts of Speech ต่างๆในประโยค

verb
Stop!
noun verb
John works.
noun verb verb
John is working.


pronoun verb noun
She loves animals.
noun verb adjective noun
Animals like kind people.


noun verb noun adverb
Tara speaks English well.
noun verb adjective noun
Tara speaks good English.


pronoun verb preposition adjective noun adverb
She ran to the station quickly.

pron. verb adj. noun conjunction pron. verb pron.
She likes big snakes but I hate them.

ต่อไปนี้เป็นประโยคที่มีทุก Parts of Speech ในประโยคเดียว

interjection pron. conj. adj. noun verb prep. noun adverb
Well, she and young John walk to school slowly.

Sentence ( ประโยค )

Sentence เป็นกลุ่มคำที่มาประกอบกันให้มีเนื้อความสมบูรณ์ บอกการกระทำ ความเป็นอยู่ หรือความเป็นไป ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยทั่วไปประโยคจะมี 2 ภาคคือ subject ( ภาคประธาน ) และ predicate ( ภาคแสดง )

subject predicate
He
lives in Bangkok. เขาอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ

None of the students
knew the answer. ไม่มีนักเรียนคนใดรู้คำตอบ


Phrase ( วลี )

เป็นกลุ่มคำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งประโยคที่ไม่มี subject หรือ predicate

In case of emergency, push the button. ในกรณีฉุกเฉินให้กดปุ่ม (In case of emergency เป็นวลี)
The woman sitting in the chair is my mother. ผู้หญิงซึ่งนั่งที่เก้าอี้คือแม่ของฉัน (sitting in the chair เป็นวลี)

Clause ( อนุประโยค )

เป็นกลุ่มคำที่มี subject และ predicate เหมือนประโยค ( sentence ) แต่ไม่ได้อยู่ตามลำพังจะเชื่อมติดอยู่กับอีก clause หนึ่งเพื่อให้เป็น 1 ประโยคกล่าวคือ ในประโยคที่มี 2 ประโยคมารวมกันแต่ละประโยคคือ clause

clause ที่ 1
Jack did not come to work
แจ๊คไม่ได้มาทำงาน
clause ที่ 2
because he had a bad cold.
เพราะเขาเป็นไข้หวัดอย่างหนัก